หากพูดถึงวิธีลดความอ้วนลดน้ำหนักแล้วหลายคนคงจะคุ้นเคยกับวิธีการที่เรียกว่า "Fasting" เป็นอย่างดี ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักวิธีลดความอ้วนแบบนี้ วันนี้ได้รู้กันอย่างแน่นอนเพราะวันนี้ Fattylose จะมาเผยวิธีการลดความอ้วนด้วย Fasting กันแบบเน้นๆเนื้อๆ เพื่อเป็นประโยชน์และความรู้สำหรับคนที่กำลังต้องการลดน้ำหนักด้วย Fasting หรือคนที่กำลังมองหาวิธีลดความอ้วนกันอยู่ ลองอ่านดูกันสักนิดไม่ทำไม่ว่ากัน ก่อนอื่นมารู้จักกับ Fasting กันก่อนว่าคืออะไรกันแน่?
Fasting คืออะไร?
หากจะให้บอกถึงคำจำกัดความของ Fasting แบบง่ายๆนั้น ก็ขอบอกว่า Fasting คือ การอดอาหารเพื่อขับสารพิษนั่นเอง หลายคนอาจจะงงว่าวันนี้เรามาดูสูตรลดความอ้วนกันไม่ใช่หรือไม่ได้จะมาขับสารพิษกันสักหน่อย ใจเย็นๆก่อนนะครับที่บอกว่าขับสารพิษนั้นก็เป็นผลลัพธ์หนึ่งที่เกิดจากการทำ Fasting แต่ก็ยังมีผลพลอยได้ที่เกิดจากทำ Fasting อีกตัวหนึ่งด้วยนั่นก็คือ การช่วยลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนนั่นเอง
การลดน้ำหนักด้วย Fasting นั้นอยู่บนหลักการที่ว่าร่างกายของคนเรานั้นจะมีกระบวนการทำงานและการเผาผลาญพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ เต็มที่มากที่สุดก็ตอนที่เรานอนหลับ ซึ่งเวลาที่เราหลับร่างกายจะทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูการทำงานต่างๆให้กลับมาเป็นปกติ รวมไปถึงการเผาผลาญพลังงานที่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เพราะไม่ต้องแบ่งพลังงานไปทำภาระกิจต่างๆ ซึ่งในเวลาที่เรานอนก็คือเวลาที่เราไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คงไม่มีใครที่สามารถนอนหลับไปกินไปได้แน่นอน พอเราไม่ได้รับอาหารที่เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ร่างกายก็จะไปเผาผลาญพลังงานที่เก็บสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งก็คือพวกไขมัน และไกลโคเจน ซึ่งส่งผลทำให้ไขมันหรือส่วนเกินต่างๆถูกเผาผลาญทำลายลงไป ทำให้น้ำหนักของเราลดลงได้นั่นเอง การลความอ้วนด้วย Fasting นั้นจะมีปัจจัยที่เราต้องควบคุมหลักๆอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ
- อาหารที่กินเข้าไปกันตาย
- ระยะเวลในการทำ Fasting
1. อาหารที่กินเข้าไปกันตาย
ที่ต้องบอกว่ากินเข้าไปกันตายนั้นเพราะว่ามันกินได้แต่ของที่ย่อยง่ายจริงๆ เพื่อให้ร่างกายได้พลังงานน้อยที่สุดที่เราพอจะใช้ชีวิตประจำวันได้ แบบว่าระบบย่อยอาหารของร่างกายจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก จะได้แบ่งพลังงานไปเผาผลาญพวกไขมันและส่วนเกินตามที่ต่างๆของร่างกายแทน อาหารที่นิยมใช้ในการ Fasting กันก็จะมี
- น้ำเปล่า
- น้ำผลไม้
- น้ำสมุนไพร
- ผลไม้ไขมันต่ำและมีน้ำเยอะๆ
โดยวิธีการกินหรือดื่มนั้นภายใน 1 วันให้กินอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย ห้ามกินอย่างอื่นอีก เช่น หากวันนั้นเราจะใช้น้ำเปล่าในการทำ Fasting ก็ให้กินน้ำเปล่าอย่างนั้นทั้งวัน เวลาที่เกิดหิวขึ้นมาก็ยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มเป็นระยะๆ โดยที่ไม่ให้กินอาหารอย่างอื่นเพิ่มแต่อย่างใด ซึ่งจะอยู่ในเวลาที่เรากำหนดไว้ด้วยแล้วแต่ว่าเราต้องการลดความอ้วนเร่งด่วนขนาดไหน ถ้าเป็นผลไม้ก็จะให้กินผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่งไปทั้งวัน เช่น ถ้าเลือกกินแตงโมก็กินมันไปทั้งวัน จะกินสาลี่ก็สาลี่ทั้งวัน เอาให้เบื่อกันไปข้างหนึ่งเลย
2. ระยเวลาในการทำ Fasting
หัวใจของการลดความอ้วนด้วย Fasting อีกข้อหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือ เวลาที่เราใช้ในการทำ Fasting โดยจะมีเวลาให้เลือกมากมายแล้วแต่กำลังศรัทธา เช่น กำหนดเวลากินภายใน 12 ชั่วโมงเท่านั้น อีก 12 ชั่วโมงที่เหลือห้ามกินอะไรเลย(12/12) หรือถ้าเอาแบบเข้มข้นขึ้นมาหน่อยก็ กินภายใน 8 ชั่วโมง อีก 16 ชั่วโมงห้ามกินอะไรเลย(8/16) หรือจะเอาแบบสุดขั้วไปเลยก็อดไป 24 ชั่วโมง หรือทั้งวันไปเลยก็แล้วแต่ใจของแต่ละคนว่าชอบแบบไหน ซึ่งในช่วงเวลาที่อดนั้นก็คือให้กินพวกน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือน้ำสมุนไพรต่างๆเวลาที่เกิดความหิวขึ้นมานั่นเอง ส่วนเวลาที่ให้กินได้นั้นก็กินไปได้อย่างเต็มที่ตามใจฉันเลย
เคล็ดลับการทำ Fasting
เคล็ดลับการทำ Fasting ที่ดีนั้นควรเลือกช่วงเวลาที่อดอาหารที่ติดช่วงที่เราต้องนอนเข้าไปด้วย เช่น หากเราอดอาหารตั้งแต่ 3 ทุ่ม เราจะกินได้อีกทีประมาณ 8 โมงเช้า(12/12) ซึ่งก็จะเหมือนกับการใช้ชีวิตตามปกติของเรา ถ้าเป็นสูตร 8/16 ก็จะอดอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่ม กินได้อีกที ตอนเที่ยง-1 ทุ่ม แต่ถ้าเป็นแบบ 24 ชั่วโมงก็ไม่ต้องนับให้เสียเวลา เพราะต้องอดทั้งวันกินแต่พวกน้ำผลไม้ไปทั้งวัน ยิ่งมีช่วนเวลาที่อดมากก็จะทำให้การลดความอ้วนได้ผลดีมากขึ้นด้วย
ข้อดีของการทำ Fasting
- ลดความอ้วนได้แน่นอน ก็ต้องอดอาหารกันหากทำได้อย่างต่อเนื่องยังไงน้ำหนักก็ลดอยู่แล้ว
- ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย การทำ Fasting นั้นเป็นวิธีการ Detox หรือการขับของเสียออกจากร่างกายชั้นเยี่ยม เหมือนเวลาที่สัตว์ป่วยมันจะไม่ยอมกินข้าวเพราะมันรู้ด้วยสัญชาติญาณของมันว่า หากมันอดอาหารร่างกายจะฟื้นฟูขึ้นมาเอง ทำให้มันหายป่วยได้เอง
- ประหยัดตังค์ เพราะมีเวลากินน้อยก็ซื้อของกินน้อยไปด้วย ยกเว้นบางคนที่บอกว่าเดี๋ยวต้องถึงเวลาอดแล้วกินตุนไว้เยอะๆ ถ้าคิดอย่างนี้ก็คงไม่ประหยัด แถมไม่ช่วยให้ผอมลงด้วยนะ
- มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นมากขึ้น หากเราลดเวลาในการกินลงไปมากหน่อย เช่น ลดเหลือ 8 ชั่วโมง เวลาที่เหลือเราก็เอาไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ เช่น อ่านหนังสือ เล่นโยคะ เล่น Internet โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งกินซึ่งการกินอาหารแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเหมือนกัน
ข้อเสียของการทำ Fasting
- ต้องทนหิวอย่างแรง หากการอดอาหารของเรายาวนาน เช่น 8/16 , 6/18 หรือ 24 ชั่วโมง แล้ว เราจะรู้สึกโหยและหิวอย่างรุนแรง เพราะเรากินได้แต่พวกน้ำผลไม้ หรือน้ำเปล่าซึ่งมันไม่อิ่มเหมือนกินข้าวแน่นอน ดังนั้นหากจะลดความอ้วนด้วย Fasting แล้วต้องมีความอดทนสูงมากๆ
- กลิ่นตัวกลิ่นปากแรง การลดความอ้วนด้วย Fasting นั้นจะเป็นการขับสารพิษหรือของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งจะออกมาทางผิวหนังและปากด้วย ถ้าเรามีอาการกลื่นตัวและกลิ่นปากแรงแสดงว่ากระบวนการ Fasting กำลังทำงานของมันอยู่นั่นเอง
- ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตใหม่ หากเราทำ Fasting เป็นประจำการกินอาหารของเราก็จะไม่เหมือนเดิม เช่น เราอาจจะต้องงดมื้อเช้าไปเพราะตามเวลาแล้วเราจะกินได้อีกทีตอนเที่ยง หรือต้องงดการสังสรรค์รอบดึกลงเพราะจะกินอะไรไม่ได้หลังจาก 2 ทุ่ม เป็นต้น ก็ต้องปรับตัวกันสักนิดนึง แต่พอทำไปนานๆเดี๋ยวก็จะชินเอง
- อย่าอดติดต่อกันเกิน 3 วัน หากทำ Fasting แบบ 24 ชั่วโมง ควรทำไม่เกิน 3 วัน เพราะจะเป็นการทำร้ายร่างกายมากเกินไป ร่างกายอาจได้รับพลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอต่อการดำรงณ์ชีวิต ซึ่งอาจจะทำให้เราล้มป่วยได้ และการอดอาหารติดต่อกันเป็นเวลานานก็ไม่ช่วยให้การลดความอ้วนได้ผลดีแต่อย่างใด กลับจะยิ่งทำให้อ้วนง่ายขึ้นกว่าเดิมอีก
หากใครที่กำลังจะลดความอ้วนด้วย Fasting นั้นก็ลองพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย และความสะดวกในการลดน้ำหนักของเราก่อนว่าเหมาะกับวิธีนี้หรือไม่ ซึ่งการทำ Fasting นั้นก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ที่ว่าใครจะเอาไปใช้ให้เกิดด้านไหนมากกว่ากัน หากใช้ Fasting ลดความอ้วนในระยะเวลาที่เหมาะสมกับตัวเราแล้ว Fasting ย่อมจะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้อย่างแน่นอน แต่หากหักโหมมาเกินไปก็จะเป็นการเสียสุขภาพไปเปล่าๆ ยังไงก็ขอให้คนที่กำลังลดความอ้วนอยู่ให้ลดได้อย่างที่ตั้งใจครับ
ต้องรอให้ท้างว่างก่อนหรือป่าวครับถึงจะเริ่มfastingได้
ตอบลบ